น้ำมันมะพร้าว กรดไขมันอิ่มตัวสายกลางกับอัลไซเมอร์
หมอดื้อ ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา
บทความ 2560
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin coconut oil) สกัดแบบบีบเย็น จากเนื้อมะพร้าวสด โดยกระบวนการที่ไม่ใช้ความร้อนหรือสารเคมี (Coldpressed coconut oil) เป็นที่นิยมกันถล่มทลาย ใครไม่กินเป็นเชย แต่ดีจริงหรือไม่สำหรับสมองในบทนี้เป็นเรื่องต่อจากบทความเดิมที่มีในคอลัมน์สุขภาพพรรษาโดยจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวกับอัลไซเมอร์
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแม้เชื่อว่าจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าการสกัดร้อน แต่องค์ประกอบกรดไขมันจะไม่ต่างกัน โดยที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง หรือ Medium chain triglycerides (MCT) (มีจำนวนคาร์บอน 6-12 ตัว) 63% ซึ่งส่วนมากคือกรดลอริกที่มีคาร์บอน 12 ตัว (Lauric acid, C12:0) กรดไขมัน อิ่มตัวสายยาว (มีจำนวนคาร์บอน >12 ตัว) 30% และกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว (มีจำนวนคาร์บอน >12 ตัว) 7%
กรดไขมันอิ่มตัวสายกลางมีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถดูดซึมที่ลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรงนำไปใช้ที่ตับได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากกรดไขมันสายยาวที่ดูดซึมผ่านระบบน้ำเหลืองก่อนเข้ากระแสเลือดและการเปลี่ยนนำไปใช้เป็นพลังงานที่ตับมีกระบวนการซับซ้อนกว่า ทางการแพทย์จึงสกัดเอากรดไขมันอิ่มตัวสายกลางจากน้ำมันมะพร้าวไปใช้เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารทางการแพทย์ชนิดรับประทาน สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ (Semi-elemental diet) เป็นส่วนประกอบสำหรับอาหารคีโตเจนิก (Ketogenic diet) ในการรักษาผู้ป่วยเด็กโรคลมชัก และเป็นส่วนประกอบของไขมันในอาหารที่ให้ทางเส้นเลือดดำ ซึ่งการนำมาใช้ทางการแพทย์ที่กล่าวมานี้ต้องผ่านการสกัดแยกมาจากน้ำมันมะพร้าวอีกทีเพื่อเอาเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัวสายกลางเท่านั้น ไม่ใช่ ใช้น้ำมันมะพร้าวแบบที่ขายทั่วไปในท้องตลาดที่มีกรดไขมันอื่นๆประกอบอยู่ด้วย
ส่วนประกอบของน้ำมันมะพร้าวที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโรคสมองฝ่ออัลไซเมอร์มี caprylic triglyceride กรดไขมันอิ่มตัวสายกลางเป็นสำคัญ สมองตามปกติจะได้พลังงานจากกลูโคส เมื่อกลูโคสขาดแคลน ตับจะเป็นตัวสร้างคีโตน ให้เป็นแหล่งพลังงานแทน
ในกรณีที่นำมาใช้เป็นการรักษาคือต้องอดอาหารแป้ง กินมันๆเยอะ และเสริมด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง ป้อนสารคีโตนผ่านทางตับให้สมอง โดยโรคอัลไซเมอร์คือ “เบาหวานของสมอง” และสมองเบาหวานนี้จะใช้คีโตนได้ดีกว่ากลูโคส คีโตนจะช่วยลดความเสียหายในเซลล์สมองที่เกิดขึ้นจากมวลอนุมูลอิสระ รวมทั้งจากสารอักเสบที่เป็นตัวการของโรคอัลไซเมอร์ และป้องกันการเกิดสารพิษโปรตีน amyloid และอื่นๆ
การประชุมล่าสุดที่ผ่านมา ณกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในเดือนกรกฎาคม 2017 มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการใช้พลังงานจากคีโตนในการรักษาโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
จากการศึกษาในคนไข้ที่จะมีสมองเสื่อม (pre-dementia) และเริ่มสูงอายุพบว่าสมองส่วนบริเวณด้านหน้ามีความสามารถในการใช้กลูโคสเป็นพลังงานได้ไม่ดีและลดลงถึง 14% เมื่อเทียบกับคนในคนสูงอายุปกติ และมากถึง 20 ถึง 30% เมื่อเริ่มมีอาการของสมองเสื่อมขั้นต้น ดังนั้นจากการที่เซลล์สมองใช้พลังงานไม่ได้หรือพูดง่ายๆคือขาดอาหาร เซลล์สมองก็จะหมดแรงและตายไปอย่างรวดเร็ว
ในการที่จะช่วยให้สมองหลุดพ้นจากภาวะการขาดอาหารก็คือการป้อนอาหารชนิดอื่น (ketogenic diet) ซึ่งก็คือต้องการทำให้มีคีโตนสูงขึ้น และยังเสริมในรูปของกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง caprylic triglyceride โดยทั้งนี้อาหารคีโตนที่ว่าคือการลดอาหารคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งน้ำตาลซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายปรับเปลี่ยนไปใช้ไขมันให้แปลงเป็นคีโตน
การลดอาหารแป้งยังเป็นการลดระดับอินซูลินในเลือดและช่วยบรรเทาภาวะการดื้ออินซูลินทั้งในเลือด และในสมองในคนที่เริ่มจะเป็นหรือเป็นสมองเสื่อมแล้วก็ตาม (โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเบาหวาน) นอกจากลดแป้งแล้วยังเพิ่มอาหารไขมันสูงเพื่อบังคับร่างกายให้ใช้พลังงานจากไขมันให้มากที่สุดแต่ปริมาณโปรตีนยังปกติ
การศึกษาในคนที่เป็นโรคสมองเสื่อมอาการไม่มากโดยให้อาหารคีโตน และเสริมด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสายกลางเป็นเวลาสามเดือน แม้จำนวนคนไข้ที่อยู่ในการศึกษาจะไม่มากนัก แต่ 10 รายที่สามารถทนต่ออาหารที่ไม่อร่อย ต้องกินแบบฝืนธรรมชาติ รวมทั้งลดแป้งมหาศาล พบว่าการตรวจสอบการทำงานของสมองดีขึ้น 4.1 แต้มในสกอร์ของโรคอัลไซเมอร์ (ADAS Cog score) ซึ่งสูงกว่าการที่ได้รับยากระตุ้นสมองที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้และเมื่อหยุดรูปแบบอาหารและการเสริมกรดไขมันประสิทธิภาพของสมองก็ตกลงมาอยู่ที่เดิม
การศึกษาที่สอง (BENEFIC study) โดยพยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารฝืนธรรมชาติ ไม่ต้องมีการลดแป้งมหาศาลอย่างแบบที่หนึ่ง โดยการให้กินเสริมด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง วันละสองครั้งตอนเช้าและเย็นทั้งนี้โดยมีผู้ป่วยที่มีสมองเสื่อมที่อาการไม่รุนแรง 50 รายและเสริมด้วยกรดไขมัน ที่ผสมในนมสกิมมิลค์ ปริมาณอยู่ที่ 30 กรัมต่อวัน
การประเมินมีทั้งการทดสอบประสิทธิภาพของสมองหรือพุทธิปัญญารวมทั้งมีการตรวจการทำงานของสมองด้วยวิธีทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ PET (positron emission tomography) scan โดยพบว่าสมองทำงานได้ดีขึ้นจากการตรวจทาง executive function และ processing speed (semantic verbal fluency score และ trail making number-letter switching test) การตรวจสอบการใช้พลังงานของสมองซึ่งแสดงว่าสมองซึ่งบกพร่องในการใช้กลูโคสและอยู่ในระดับบกพร่อง 4 ถึง 8% แต่เมื่อได้รับกรดไขมัน สมองสามารถใช้คีโตนได้แทน และระดับของการดีขึ้นทั้งหมดแปรผันตามระดับของคีโตนในเลือด การเสริมด้วยกรดไขมันอิ่มสายกลาง คนที่อยู่ในการศึกษายังสามารถกินได้อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งครบหกเดือนได้ไน 78%
ดังนั้นนี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของอาหารที่ช่วยร่างกายและสมองดังที่ได้นำเสมอก่อนหน้านี้ในเรื่องของอาหารช่วยชีวิตต่างๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น